กรดไหลย้อนโรคเล็กๆแต่อาการไม่ได้เล็กตามโรคเลย เพราะมันทำให้เราทรมานนั่นเอง เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับการป้องกัน กรดไหลย้อน มามากมายหลายวิธีแล้ว ในวันนี้ เอง เราก็จะไปเรียนรู้เกี่ยวกับ เคล็ดไม่ลับ ในการป้องกันอาการ กรดไหลย้อนกัน

TEAM DIGITAL สอนการตลาดออนไลน์

เรียน digital marketing https://www.teamdigital.co/category/2/สัมมนา-อบรม-digital-marketing

เรียน seo www.teamdigital.co/category/5/สัมมนา-อบรม-seo

เรียนขายของออนไลน์ https://www.teamdigital.co/category/8/สัมมนา-อบรม-การขายของออนไลน์

เวลาทานอาหารไม่ควรกินไป พูดไป

เชื่อหรือไม่ว่า คนเราเมื่อทานอาหารแล้วมีการกินไปพูดไปจะทำให้เผลอกลืนลม เข้าไปพร้อมอาหาร ทำให้ปริมาณอาหาร น้ำ และลมรวมกันมากเกิน ซึ่งสิ่งที่ตามมาก็ไม่มีอะไรหรอกครับนอกจากอาการ กรดไหลย้อน นั่นเอง

ทานมื้อค่ำให้น้อยๆ

ปกติแล้ว ในช่วงเย็นคนเรามักที่จะไม่มีภารกิจอะไร ดังนั้นในเรื่องของการ ย่อยอาหาร ก็จะย่อยได้ไม่ดีเท่าที่ควร ดังนั้น มื้อเย็นเราควรทานอาหารให้น้อยๆ และ อาหารมื้อเย็นหรือมื้อค่ำควรฝึกกินคำเล็กๆ กินช้าๆ เคี้ยวให้ละเอียด และกินอาหารเย็นให้เร็วขึ้น เช่นปกติเคยกินอาหารเย็นสองทุ่ม ก็เลื่อนมา หนึ่งทุ่ม เลื่อนมา หกโมงเย็น เพระการกินอาหารใกล้เวลานอนจะทำให้อาหารที่ตกค้างอยู่ในกระเพาะอาหาร น้ำ และน้ำย่อยไหลย้อนขึ้นเบื้องบนได้ง่าย เนื่องจากหลอดอาหารจะเปลี่ยนแกนจากแนวตั้งเป็นแนวนอน

In-house training https://www.teamdigital.co/category/11/อบรมภายในองค์กร-in-house-training

สอน Google AdWords https://www.teamdigital.co/category/20/สัมมนา-อบรม-google-adwords

สอนลงโฆษณา facebook http://www.teamdigital.co/category/21/สัมมนา-อบรม-facebook-ads-marketing

สอน LINE@ http://bit.ly/2EdL75s

ไม่ควรดื่มน้ำทีละมากๆ

ปกติเมื่อเวลาเรากระหายน้ำ ชอบที่จะดื่มน้ำทีละมากๆ เช่นการดื่มน้ำคราวละมากๆ เช่น 4-5 แก้วรวดเดียว ฯลฯ ซึ่งจะทำให้ปริมาตรอาหาร น้ำ และน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้น ทำให้กรดไหลย้อนขึ้นเบื้องบนได้ง่าย ดังนั้นแล้วการดื่มน้ำ ก็ควรที่จะค่อยๆ ดื่ม ดีที่สุด

ดังนั้นแล้ว ในวันนี้เราได้เรียนรู้วิธีการง่ายๆเกี่ยวกับการป้องกันอาการ กรดไหลย้อน กันไปแล้ว ก็อย่าลืมนำไปปฎิบัติตามกันด้วยนะครับ เพื่อสุขภาพที่ดีของเราเอง

สอน Google Analytics www.teamdigital.co/product/99/หลักสูตรอบรม-สัมมนา-google-analytics-for-digital-marketing-success

สอน WordPress teamdigital.co/product/108/คอร์สอบรม-สร้างเว็บสวยด้วย-wordpress

หารายได้จาก YouTube https://www.teamdigital.co/product/59/หลักสูตรอบรม-สัมมนา-youtube-marketing-youtube-adsense/

เนื้องอกเต้านม

 

ในปัจจุบันในการตรวจคัดกรองภาวะสุขภาพ แล้วพบความผิดปกติเป็นสิ่งที่พบมากขึ้น ปัญหาหนึ่งที่พบบ่อยคือเนื้องอกเต้านม ดังนั้นการดูแลตรวจเต้านมจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก เพื่อป้องกันการเกิดความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นได้ เพื่อจะได้ทราบว่าตนเองนั้นมีความเปลี่ยนเเปลงทางกายภาพของเต้านมอย่างไรบ้าง ความผิดปกติของก้อนเนื้องอกเต้านมที่อาจกลายเป็นมะเร็งเต้านมได้ หากเซลล์มีความผิดปกติ  ดังนั้นการตรวจเพื่อคัดกรองถือว่าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง  ทุกคนควรให้ความสนใจในการตรวจเต้านมไม่ว่าจะเป็นเพศหญิงหรือเพศชายก็ตาม ก็มีโอกาสที่จะเกิดเนื้องอกเต้านมและมะเร็งเต้านมด้วยกันทั้งนั้น ข้อควรคำนึงในการตรวจเต้านมเพื่อค้นหาก้อนเนื้องอกเต้านมและภาวะเสี่ยงของการเกิด มีดังต่อไปนี้

– ควรมีการเริ่มตระหนักเเละเห็นความสำคัญของการตรวจเต้านมด้วยตนเอง  อายุที่สามารถทำการตรวจได้ คือ อายุ ตั้งเเต่ 20 ปีขึ้นไป ควรเริ่มตรวจเต้านมด้วยตนเองเป็นประจำในทุกๆเดือน  เพื่อลดการเกิดความผิดปกติและสามารถพบก้อนเต้านมตั้งเเต่ในระยะเเรก การตรวจเต้านม เพื่อตรวจหาว่ามีก้อนเนื้องอกเต้านมหรือเป็นมะเร็งเต้านมหรือไม่  ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการตรวจ  คือ 3 ถึง 10 วัน นับจากประจำเดือนหมด เป็นประจำทุกเดือน เพื่อให้เต้านมไม่คัดตึง ง่ายต่อการตรวจเต้านม  นอกจากนี้ควรกระตุ้นให้คนในครอบครัวตรวจเต้านมด้วยตนเองเป็นประจำ

-ควรมีการตระหนักและระมัดระวังในผู้ทีมีบุคคลในครอบครัว ที่มีประวัติบุคคลที่อยู่ในครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม เนื่องจากเนื้องอกเต้านมและมะเร็งเต้านม  ยังไม่หาสาเหตุที่ชัดเจนได้  แต่จากสถิติพบว่า  ผู้ที่มีบุคคลในครอบครัวมีประวัติมีก้อนเนื้องอกที่เต้านม หรือเป็นมะเร็งเต้านม จะมีโอกาสเกิดโรคร้ายได้มากกว่าบุคคลที่ไม่มีประวัติคนในครอบครัวมีก้อนเนื้องอกที่เต้านม หรือเป็นมะเร็งเต้านม ดังนั้นควรมีการตรวจสุขภาพประจำปีและ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำในความผิดปกติที่เกิดขึ้น

การดูแลเต้านมของตนเองเป็นสิ่งที่สำคัญ หากพบมีก้อนเนื้องอกที่เต้านมที่ผิดปกติควรพบแพทย์เพื่อทำการรักษา

ผู้ป่วยโรคตับควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างไรบ้าง

 

สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคตับนั้นควรที่จะมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในด้านลบของตนเองเสียใหม่ เพื่อที่จะได้เป็นการยืดอายุการใช้งานของตับให้มีอายุให้มากยิ่งขึ้น เพราะตับนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อร่างกายของคนเรา โดยนอกจากตับจะมีหน้าที่ในการขนส่งอาหารได้ส่วนต่างๆแล้ว ยังมีหน้าที่ในการขจัดของเสียออกจากร่างกายอีกด้วย ซึ่งเป็นหน้าที่ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะเมื่อใดก็ตามที่ตับของเราเกิดภาวะการทำงานบกพร่อง ก็จะเกิดการะสะสมของเสียในร่างายของเรามากยิ่งขึ้น ซึ่งนั้นจะเป็นที่มาของอาการต่างๆที่จะแสดงออกมาให้เราได้เห็น เมื่อยามที่เป็นโรคตับในระยะท้ายๆแล้วนั่นเอง

ดังนั้นผู้ที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคตับหรือรู้ตัวแล้วว่าตนเองเป็นผู้ป่วยโรคตับ จึงควรที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเองให้สามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นไป วันนี้เรามาดูกันว่าผู้ป่วยโรคตับหรือบุคคลที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงควรที่จะปฏิบัติตนอย่างไรบ้าง

  1. ผู้ป่วยโรคตับควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มประเภทที่มีแอลกอฮอล์ เพราะแอลกอฮอล์จะเป็นตัวที่เข้าไปทำลายตับโดยตรง หากหลีกเลี่ยงได้จะเป็นผลดีต่อตับอย่างมาก
  2. ควรเปลี่ยนพฤติกรรมการทานเสียใหม่ อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงคือ อาหารที่ชื้น เช่น พริกป่น ถั่วป่น เพราะเป็นแหล่งของสารอะฟลาท็อกซิน จะทำให้ตับของเราทำงานหนักเกินไป อาหารประเภทไขมันสูง โดยใช้น้ำมันพืชแทนน้ำมันจากสัตว์ , อาหารที่มีรสเค็มจัด เช่น ไส้กรอก หมูยอ เพราะในอาหารมีโซเดียมเป็นส่วนประกอบและอาหารเหล่านี้จะทำให้ผู้ป่วยโรคตับเกิดอาการบวมขึ้นได้
  3. ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายมีการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะทำให้ตับพลอยมีประสิทธิภาพมากตามไปด้วย แต่ไม่ควรที่จะหักโหมมากจนเกินไป ควรที่จะค่อยๆปรับเปลี่ยนแบบฝึกของการออกกำลังกายให้พอเหมาะกับสภาพร่างกายของตนเอง และเมื่อผ่านการออกกำลังกายไปได้สักระยะแล้วก็ควรที่จะค่อยๆเพิ่มความเข้มข้นของการฝึกให้มากขึ้นทีละนิด เพื่อความแข็งแรงของร่างกายที่มากขึ้นนั่นเอง
  4. ควรที่จะเข้าไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำแนะนำอย่างสม่ำเสมอ และอยากแพทย์ได้สั่งจ่ายยาให้ก็ควรที่จะทานยาตามที่แพทย์สั่งและไม่ควรที่จะหยุดยาเอง
  5. หากผู้ป่วยเป็นไวรัสตับอักเสบ ก็ควรที่จะเข้าไปพบแพทย์และเข้ารับการฉีดวัคซีนเพื่อต้านไวรัส เพราะหากตับเกิดติดเชื้ออักเสบแบบเฉียบพลันทั้งจากไวรัสบีและซีแล้ว ก็จะมีโอกาสมากที่ตับจะหยุดการทำงานหรือเรียกว่าตับวายจนนำไปสู่การเสียชีวิตได้ในที่สุด

ผู้ป่วยที่เป็นโรคตับควรที่จะปฏิบัติตามที่กล่าวมานี้ เพื่อที่จะได้รู้วิธีการป้องกันและรักษาอย่างถูกต้องจากแพทย์ผู้เชี่ยว ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ไม่ควรที่จะละเลยเด็ดขาด

อาการปวดเข่า ข้อเสื่อม ข้ออักเสบ เกิดจากอายุที่มากๆขึ้น ข้อต่างๆก็จะค่อยๆเสื่อมไป เกิดจากอาการบาดเจ็บจนเป็นการอักเสบขึ้นมา หรือการสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นไปต่อต้านเนื้อเยื่อบริเวณข้อต่อของหัวเข่าแล้วก่อให้เกิดการอักเสบ และผู้ทีเกิดอาการปวดเข่า ข้อเสื่อม หรือ ข้ออักเสบนี้ มีหลายคนเลยทีเดียวที่จะต้องพบแพทย์เพื่อทำการผ่าตัด ก็จะทำให้หายเจ็บ หายอักเสบ สามารถเดินได้อย่างสะดวก

 

การรักษาอาการปวดเข่าด้วยตนเอง สำหรับผู้สูงอายุ

 

มีวิธีการรักษาอีกวิธีหนึ่งคือ การนวด เพราะการนวดนั้นเป็นการบริหารกล้ามเนื้อส่วนหัวเข่า ซึ่งกล้ามเนื้อส่วนหัวเข่านั้นก็มีผลทำให้เกิดอาการปวดเข่าด้วยเช่นกัน และเมื่อหากนวดแล้วจะทำให้กระดูกในส่วนของหัวเข่านั้น มีการผ่อนคลายและทำให้อาการอักเสบของเข่านั้นได้หายเป็นปกติได้ และที่สำคัญสำหรับผู้ที่มีอาการปวดเข่า ควรจะนวดบริเวณหลังเข่าด้วย ซึ่งอยู่บริเวณข้อพับของขา ซึ่งเป็นส่วนสำคัญเลยทีเดียวที่จะสามารถทำให้กล้ามเน้อผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี

และวิธีสุดท้ายของการรักษาด้วยตัวเองของอาการปวดเข่าก็คือ ให้ใช้นิ้วกดลงไปที่หลังเข่าของหลัง ซึ่งอยู่บริเวณส่วนของข้อพับขา เมื่อกดลงไปแล้ว ให้แกว่งขาขึ้น-ลง ไปเรื่อยๆ เพื่อจะทำให้เอ็นบริเวณหัวเข่านั้นได้ยืดหยุ่น แต้ควรขยับขาขึ้นลงอย่างช้าๆและใจเย็นที่สุด หากใครประสบปัญหาอาการปวดเข่าอยู่ล่ะก็สามารถนำวิธีนี้ไปใช้ได้เลยครับ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีปัญหาเหล่านี้บ่อยๆจะทำให้คลายปวดได้